การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
การปฏิวัติวิทยาศาสตร์๋เริ่มขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นผลมาจากการพัฒนาคาวมคิดที่ยึดหลักเหตุผลซึ่งได้รับอิทธิพลจากขบวนการมนุษย์นิยมในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ยังส่งผลให้เกิดการค้นคว้าเพื่อแสวงหาความรู้ใหม่ๆ และการเปลี่ยนแปลงองค์ความรู้ของมนุษยชาติ
ปัจจัยส่งเสริมการปฏิวัติวิทยาศาสตร์
แนวคิดของนักมนุษย์นิยมที่ให้ความสำคัญกับการใช้หลักเหตุผลในการแสวงหาความจริงและการฟื้นฟูวิทยาการสมัยคลาสสิกเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ในยุโรป
การใช้หลักเหตุผลในการแสวงหาความจริง
ความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติซึ่งเป็นที่ยอมรับกันมาตั้งแต่ต้นคริสต์ศักราชจนถึงปลายสมัยกลาง เช่น การยอมรับว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล และพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก ล้วนเป็นการยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งหรือการพิสูจน์ใดๆ ต่อมาเมื่อมีการส่งเสริมให้ใช้หลักเหตุผลในการแสวงหาความจริง นักวิทยาศาสตร์จึงเริ่มตั้งข้อสงสัยต่อความจริง และเริ่มศึกษาโดยวิธีการสังเกต รวบรวมข้อมูลและทดลอง ก่อนสรุปเป็นองค์ความรู้หรือทฤษฎี วิธีการศึกษาดังกล่าวได้ชื่อว่าเป็น “วิธีการแบบวิทยาศาสตร์” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ เพราะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงองค์ความรู้และเกิดการศึกษาค้นคว้าต่อไปเพื่อให้ไดคำตอบที่เป็นความจริง
การฟื้นฟูวิทยาการสมัยคลาสสิก
การศึกษาองค์ความรู้เกี่ยวกับวิทยาการสมัยคลาสสิก ทำให้นักวิทยาศาสตร์ยุโรปเรียนรู้ความคิดที่ก้าวหน้าและการใช้หลักเหตุผลของนักปราชญ์ชาวกรีกและโรมัน เช่น อริสโตเติล ยูคลิด (Euclid) อาร์คิมิดิส (Archemedes) แนวคิดดังกล่าวช่วยให้นักวิทยาศาสตร์หลุดออกจากกรอบความคิดที่ถูกกำหนดโดยอิทธิพลของศาสนา นอกจากนี้ความก้าวหน้าด้านการพิมพืยังช่วยให้องค์ความรู้ใหม่ๆ ด้านวิทยาศาสตร์ได้เผยแพร่สู่สังคม และเป็นที่ยอมรับกันต่อมา
นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญในสมัยปฏิวัติวิทยาศาสตร์
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 – 17 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบองค์ความรู้ที่ก่อประโยชน์มหาศาลให้แก่มนุษยชาติ นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญ เช่น
นิโคลัส คอเปอร์นิคัส (Nicholas Copernicus) เป็นนักดาราศาสตร์ชาวโปแลนด์ซึ่งค้นพบทฤษฎีสุริยจักรวาล คอเปอร์นิคัสพบว่าโลกมีสัณฐานกลมและเป็นดาวดวงหนึ่งในระบบสุริยจักรวาล





ความสำเร็จของการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ทำให้โลกก้าวสู่สมัยใหม่ที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และความก้าวหน้าด้านภูมิปัญญา
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ทำให้สังคมยอมรับวิทยาการสมัยใหม่และทำให้การศึกษาวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์สมัยต่อมาได้ศึกษาค้นคว้าองค์ความรู้เพิ่มเติมจากทฤษฎีที่นักวิทยาศาสตร์รุ่นแรกๆ ค้นคว้าไว้ นอกจากนี้การศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ยังขยายออกไปหลายสาขา เช่น การแพท์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ฯลฯ อนึ่ง ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ได้ส่งเสริมให้มีการประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีหลากหลาย เช่น เครื่องทุ่นแรงและเครื่องจักรต่างๆ ส่งผลให้เทคโนโลยีและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของมนุษย์จนถึงปัจจุบัน
ความก้าวหน้าทางด้านภูมิปัญญา
การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ยังส่งผลต่อการศึกษาและการพัฒนาความคิดในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นสมัยที่มีความก้าวหน้าทางภูมิปัญญาทุกด้าน ทั้งด้านปรัชญา การเมือง เศรษฐกิจและสังคม จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นสมัยภูมิธรรม (Age of Enlightenment) หรือยุคเหตุผล (Age of Reason) ผู้นพความคิดในการใช้หลักเหตุผล (rationalism) ของสมัยนี้คือ นักปราชญ์ฝรั่งเศส นำโดย วอลแตร์ (Voltaire) และมงเตสกิเออ (Montesquieu) อนึ่ง นักคิดในสมัยนี้ได้นำหลักเหตุผลแบบการศุกษาวิทยาศาสตร์ไปใช้ในการศึกษาศาสตร์แขนงต่างๆ และสันบสนุนการใช้เสรีภาพในการคิดวิเคราะห์ และการวิพากษ์ ทำให้มีผลงานของนักปราชญ์การเมืองคนสำคัญที่มีอิทธิพลต่อความคิดของประชาชน เช่น ผลงานของจอห์น ล็อก (John Locke) นักปราชญ์การเมืองชาวอังกฤษ วอลแตร์ มงเตสกิเออ และรูสโซ (Rousseau)
โดยสรุปการปฏิวัติวิทยาศาตร์เป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาความคิดและสติปัญญาของมนุษย์และทำให้สังคมโลกก้าวสู่สมัยแห่งความก้าวหน้าที่มีการศึกษาค้นคว้าและพัฒนาความเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่หยุดยั้ง อนึ่ง การที่การปฏิวัติวิทยาศาสตร์เริ่มต้นจากดินแดนยุโรป จึงทำให้ยุโรปมีความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากกว่าดินแดนอื่นๆ และเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญของยุโรป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น